วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ได้เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันพระบิดาแห่งฝนหลวง โดยมีส่วนราชการต่างๆ ได้นำพานพุ่มเงินพานพุ่มทองถวายราชสดุดี บริเวณหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประจำปี ๒๕๕๗ ณ หอประชุมอำเภอเมืองจังหวัดอ่างทอง
นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า เนื่องในวันวันพระบิดาแห่งฝนหลวง เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการในท้องฟ้าให้เป็นไปได้ พระองค์ทรงเชื่อมั่นว่าวิธีการดังกล่าวนี้จะทำให้การพัฒนาระบบการจัดทรัพยากรน้ำของชาติเกิดความพร้อม และครบบริบูรณ์ตามวัฏจักรของน้ำ จึงมีมติจากคณะรัฐมนตรี ให้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายนของทุกปีเป็น “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง”
วันเสาร์ ที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๐๗.๓๐ น. นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ได้เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะ เนื่องในวันยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ วัดป่าโมกวรวิหาร อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง
ตามพระราชประวัติ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ทรงกรีฑาทัพมาตั้งพลับพลา ณ บ้านป่าโมก ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทองในปัจจุบัน โดยได้ประทับแรมและกระทำพิธีตัดไม้ข่มนาม ณ บริเวณวัดป่าโมก ซึ่งชัยชนะครั้งนั้นทำให้พระเกียรติยศของพระองค์เลื่องลือแพร่หลายไปทั่วทุกประเทศในชมพูทวีป และที่สำคัญยิ่งคือชัยชนะของพระองค์ครั้งนั้นทำให้ไม่มีข้าศึกมารุกรานเป็นเวลานาน
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักร กรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน ทรงกอบกู้เอกราช ทรงป้องกันราชอาณาจักร ทรงขยายราชอาณาจักร ทรงสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นให้แก่ชาติไทย และทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยทั้งชาติ พระราชกรณียกิจของพระองค์ประทับอยู่ในดวงใจของลูกหลานไทยทุกคนเพราะตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์นั้น ล้วนแต่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อธำรงความเป็นชาติไทยและเผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติยศของชาติได้กว้างใหญ่ไพศาล ราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ยากที่จะมีราชอาณาจักรใดในชมพูทวีปทัดเทียม เป็นความภาคภูมิใจของชาติสืบมาจนถึงทุกวันนี้ พระองค์ทรงประกอบวีรกรรมอันยิ่งใหญ่นานัปการ โดยทรงประกาศอิสรภาพให้แก่ลุกหลานไทยที่เมืองแครงในเขตแดนพม่า เมื่อพุทธศักราช ๒๑๒๗ ซึ่งพระองค์ทรงรอบรู้ภูมิประเทศ และทรงมีพระปรีชาญาณในการศึกษาสงครามเฉพาะหน้าอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะเมื่อครั้งทรงมีชัยชนะในสงครามยุทธหัตถีต่อพระมหาอุปราช ณ ทุ่งหนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี
ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ กำหนดให้วันที่ ๑๘ มกราคม ของทุกปี เป็นวันยุทธหัตถี และเป็นวันรัฐพิธี สำหรับจังหวัดอ่างทอง ได้จัดพิธีถวายราชสักการะ แด่ดวงพระวิญญานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดอ่างทอง ทั้งส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เข้าร่วมในพิธี พร้อมถวายราชสักการะโดยพร้อมเพรียงกัน
เมื่อวันวัที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๘ จังหวัดอ่างทอง จัดพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะเนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี ๒๕๕๘ โดยมีนายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองเป็นประธานวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะและถวายความเคารพพระบรมสาทิสลักษณ์ฯ พร้อมด้วยนางมลสุดา ชำนิประศาสน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดอ่างทอง พร้อมด้วยรองผู้ว่าฯ หัวหน้าหน่วยงานราชการ ข้าราชการและผู้มีเกียรติ พ่อค้า ประชาชน นักเรียน นักศึกษา กลุ่มพลังมวลชน เข้าประกอบพิธีในครั้งนี้ ณ หอประชุมอำเภอเมืองอ่างทอง
วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๗ เวลา ๐๘.๐๐ น. นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ได้เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะ เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี ๒๕๕๗ ณ หอประชุมอำเภอเมืองจังหวัดอ่างทอง
นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า วันที่ ๑๗ มกราคม ของทุกปีเป็น "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช" โดยเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๓๑ สำนักงานสภาจังหวัดสุโขทัย ได้มีหนังสือเสนอต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ขอให้มีการกำหนด "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช" ขึ้น โดยถือเอา วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงประกอบพระราชพิธีและทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็น "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช" ต่อมาคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย และจัดเอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พิจารณาทบทวนเรื่องการกำหนดวันสำคัญทางประวัติศาสตร์โดยคำนึงถึงความเหมาะสม และความถูกต้องตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้เสนอความคิดว่าควรที่จะเป็น วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๓๗๖ เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จะเป็นการเหมาะสมกว่า และ ได้มีการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๓๒ ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ในการกำหนดวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ ซึ่งคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย และจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว ดังนั้นจึงให้วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ เป็น "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช" วันสำคัญทางประวัติศาสตร์วันหนึ่งซึ่งถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
ด้วยชาวอ่างทองสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง กรุงสุโขทัย ทรงทำนุบำรุงปกครองบ้านเมืองด้วยพระเมตตาธรรมต่อไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ ทรงสร้างสรรค์มรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมที่สำคัญ ๆ ของชาติไว้อย่างอเนกอนันต์ มรดกของชาติที่สำคัญที่สุดก็คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๑๘๒๖ อันเป็นต้นกำเนิดของอักษรไทยที่ใช้กันในทุกวันนี้
จังหวัดอ่างทอง ได้จัดพิธีถวายพานพุ่มดอกไม้สด ถวายเป็นราชสักการะ แด่ดวงพระวิญญาณพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยมีนายกเหล่ากาชาดจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด เข้าร่วมพิธีถวายพานพุ่มดอกไม้สดโดยพร้อมเพรียงกัน
เนื้อหาอื่นๆ...
- จังหวัดอ่างทอง จัดพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะเนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี ๒๕๕๙
- จังหวัดอ่างทอง จัดพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะเนื่องในวันยุทธหัตถี ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประจำปี ๒๕๕๘
- จังหวัดอ่างทอง จัดพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะเนื่องในวันยุทธหัตถี ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประจำปี ๒๕๕๙
- จังหวัดอ่างทอง จัดพิธีอัญเชิญพระแสงราชศัสตรา